[ด้วยความอยากรู้ถึงประวัติและความเป็นมาของพระธาตุเขี้ยวแก้ว
กรอปกับตอนนั้นกำลังจะได้มีโอกาสเดินทางไปกราบองค์พระธาตุเขี้ยวแก้วที่เมืองแคนดี้
ศรีลังกา แต่หาข้อมูลจากหลายแหล่งอาจไม่ได้ในทีเดียว ไหนๆก็ลงมือหาข้อมูลไว้แล้ว
เลยรวบรวมไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังจะหาข้อมูลเช่นกัน
ขอขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลที่ผมนำมาใช้ด้วยครับ ]
จากการหาข้อมูลจึงทำให้ทราบว่า
พระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือพระทาฐธาตุ
คือพระธาตุส่วนที่เป็นเขี้ยวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้อมูลในคัมภีร์พระไตรปิฏกในลักขณสูตร
ได้กล่าวถึงมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึง
ลักษณะของพระทาฐะหรือเขี้ยวของบุคคลผู้มีลักษณะแห่งมหาบุรุษว่า
"เขี้ยวพระทนต์ทั้งสี่งามบริสุทธิ์" ข้อมูลนี้ยืนยันว่า
พระธาตุเขี้ยวแก้วมีทั้งหมด 4 องค์ ซึ่งหลักฐานในคัมภีร์บางเล่มบอกว่า
- พระธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา
ท้าวสักกะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ จุฬามณีเจดีย์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
- พระธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำขวา
ประดิษฐานที่แคว้นกาลิงคะ (บางตำราเรียก กลิงครัฐ) แล้วจึงถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน
ณ ลังกา (ศรีลังกาในปัจจุบัน) *คือองค์นี้ที่ผมได้มีโอกาสไปกราบที่แคนดี้
ศรีลังกามาครับ
- พระธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องบนซ้าย
ประดิษฐาน ณ แคว้นคันธาระ [1] แล้วเชื่อว่าถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่เมืองฉางอัน
ประเทศจีน (ซีอาน) โดยพระภิกษุฟาเหียนเมื่อคราวจาริกไปสืบพระศาสนายังอินเดีย
ปัจจุบันพระธาตุเขี้ยวแก้วองค์นี้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ
พระมหาเจดีย์ ณ วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง *พระธาตุเขี้ยวแก้วองค์นี้เคยถูกอัญเชิญมาไทยเมื่อ
14 ธันวาคม 2545 - 28 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษาครับ
- พระธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำซ้าย
ประดิษฐานในภพพญานาค
อันจะเห็นได้ว่าบนโลกมนุษย์ของเรานี้
มีพระเขี้ยวแก้วขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ 2
องค์ คือที่ศรีลังกาและจีน ส่วนอีกสององค์นั้นหนึ่งอยู่บนสวรรค์
และอีกหนึ่งอยู่ที่เมืองบาดาลของพญานาคครับ นอกจากนี้พระธาตุเขี้ยวแก้วยังจัดเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ไม่แยกกระจัดกระจาย
องค์มีลักษณะแข็งแกร่งรวมกันแน่น พุทธศาสนิกชนจึงมีความศรัทธาเลื่อมใสในองค์พระธาตุเขี้ยวแก้วเป็นอย่างมาก
พระธาตุเขี้ยวแก้วที่ปรากฏในพระคำภีร์ต่างๆ
ตำนานเรื่องพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเขี้ยวแก้ว
มีการกล่าวไว้ในหลายคัมภีร์ด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่มีเนื้อความที่มา
และที่ประดิษฐานที่สอดคล้องกันกล่าวคือ
คำภีร์อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร
ได้กล่าวไว้ว่าถึงเหตุการณ์การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อสิ้นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ว่า
เมื่อเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิง ด้วยปรากฏองค์พระบรมสารีริกธาตุรวม
16 ทะนาน โดยมีส่วนที่ไม่ต้องพระเพลิง (ไม่ไหม้ไฟ) อยู่ 7
องค์ด้วยกัน คือ พระเขี้ยวแก้ว 4 องค์ พระรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า)
2 องค์ และพระนลาฏ(หน้าผาก) 1 องค์ กาลครั้งนั้นกษัตริย์แลพราหมณ์ทั้ง
7 แว่นแคว้นได้ทราบข่าว จึงมาเฝ้ารอเพื่อขอแบ่งพระสรีรธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้แก่ พระเจ้าอชาตศัตรู แคว้นมคธ กษัตริย์ลิจฉวี นครเวสาลี
กษัตริย์ศากยะ นครกบิลพัสดุ์ กษัตริย์ถูละ แคว้นอัลลกัปปะ
กษัตริย์โกลิยะ แคว้นรามคาม พราหมณ์เวฏฐทีปกะ แคว้นเวฏฐทีปกะ
และกษัตริย์มัลละ นครปาวา
โทณพราหมณ์แห่งนครกุสินารา
จึงได้ทำหน้าที่แบ่งพระสรีรธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กัน เพื่อแบ่งให้กษัตริย์แลพราหมณ์ทั้ง
7 แว่นแคว้นนำประดิษฐาน ก่อพระสถูปให้ชาวเมืองทั้งหลายได้สักการะบูชา
โดยเจ้าผู้ครองนครได้ไปนครละ 2 ทะนาน เมื่อโทณพราหมณ์แบ่งพระสารีริกธาตุอยู่นั้นได้ฉวยโอกาสหยิบพระเขี้ยวเบื้องขวาสอดใส่ไว้ในผ้าโพกศีรษะ
แต่ท้าวสักกะเทวราช คือ พระอินทร์ทอดพระเนตรเห็นทรงดำริว่า
ท่านพราหมณ์ผู้นี้มิสามารถทำการสักการะให้เหมาะสมแก่พระทาฐธาตุได้
จึงได้อัญเชิญลงในผะอบทอง แล้วทรงนำไปเทวโลก ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ประดิษฐานไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งมีพระเกศธาตุของพระพุทธองค์ที่ทรงตัดด้วยพระขรรค์คราวเสด็จออกบรรพชา
และพระอินทร์ได้อัญเชิญมารักษาไว้อยู่ก่อนแล้ว (ตรงนี้จึงเป็นคติความเชื่อที่พุทธศาสนิกชน
ตั้งจิตอธิฐานขอให้ได้ไปบูชาพระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อถึงกาลจะละสังขารจากโลกนี้)
อนึ่งในการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น
กษัตริย์โมริยะแห่งปิปผลิวัน มาถึงภายหลังเมื่อแบ่งพระสรีรธาตุหมดแล้ว
จึงได้พระพุทธสรีรางคารไปแทน กาลต่อมาได้เกิดมีพระสถูปประดิษฐานพระสรีรธาตุขึ้น
10 แห่ง ทั้งนี้พระทาฐธาตุทั้ง 4 องค์ คือ พระเขี้ยวแก้ว นอกจากองค์หนึ่งที่พระอินทร์นำไปบูชาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว
อีก 3 องค์ได้ไปประดิษฐานในคันธารปุระ แคว้นกาลิงคะ และภพบาดาลของพญานาค
ส่วนพระสรีรธาตุที่กษัตริย์แคว้นต่างๆ
ได้ไปนั้น กาลต่อพระมหากัสสปะเถระ ได้พิจารณาเห็นจะมีอันตรายแก่พระสรีรธาตุทั้งหลาย
จึงถวายพระพรพระเจ้าอชาตศัตรูให้เก็บรักษาเรียกว่าธาตุนิทานอัญเชิญพระสรีรธาตุจากแคว้นต่าง
ๆ มาบรรจุรวมไว้ด้วยกัน จนถึงรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จึงโปรดให้นำพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายไปบรรจุในพระวิหาร
84,000 วิหารที่ทรงสร้างไว้ พระเจ้าอโศกมหาราชองค์นี้เองคือผู้ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไปทั่วชมพูทวีป
และยังโปรดให้สมณทูตเดินทางไปเผยแผ่พระศาสนาถึงแคว้นสุวรรณภูมิ
และจีนซึ่งจะเป็นเหตุให้ปรากฏว่าพระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่งถูกอัญเชิญไปยังประเทศจีนซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
และยังมีหลักฐานปรากฏว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนข้อนิ้วมือไปยังประเทศจีนอีกด้วย
เป็นเหตุให้คติการบูชาพระบรมสารีริกธาตุได้แพร่หลายไปพร้อมกัน
คำภีร์ดาลาดาวังสะ(ทาฐวังสะ)
ของลังกา ได้กล่าวถึงการแบ่งพระบรมสารีรกิธาตุในกาลนั้น
และกล่าวถึงพระธาตุเขี้ยวแก้ว ทั้ง 4 องค์ ไว้ว่า พระเขี้ยวแก้ว
องค์ที่หนึ่ง เทพยาดานำไป องค์ที่สอง นาคทั้งหลายนำไป องค์ที่สาม
ตกไปอยู่เมืองคันธาระ องค์ที่สี่ ตกไปอยู่เมืองกาลิงคะ
[1]
แคว้นคันธาระ เป็น 1 ใน 16 แคว้นใหญ่ของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล
ปัจจุบันคือทางตอนเหนือในรัฐนอร์ธเวสต์ฟอนเทียร์ และบางส่วนของรัฐปัญจาบของปากีสถาน
ไปจนถึงพื้นที่บางส่วนทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน
รวบรวมจาก
นิทรรศการเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ : พระธาตุเขี้ยวแก้ว
: http://oldwww.mcu.ac.th/relic/
บุหลง
ศรีกนก, ประวัติพระบรมสารีริกธาตุ, สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
: http://www.thaisnews.com/prdnews/budha/6.html
วิกิพีเดีย
: http://th.wikipedia.org
วรรัตน์
ตานิกูจิ, ตามรอยต้นธารพุทธศิลป์ เยือนถิ่น 'คันธาระ', พระไทยเน็ต
: http://www.phrathai.net/article/detail.php?catid=1&ID=501
บทความต่อเนื่อง
>> 2013.10.05
- ครั้งหนึ่งของมหามงคลชีวิต กราบนมัสการพระธาตุเขี้ยวแก้ว
เมืองแคนดี้ ศรีลังกา
IP:
|